
ความนุ่มของเนื้อ (tenderness) หมายถึง ความง่ายของการหลุดจากกันของเส้นใยเนื้อจากการเคี้ยว ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สามารถวัดได้หลังจากการที่เนื้อผ่านการปรุงให้สุก
ปัจจัยที่มีผลต่อความนุ่มของเนื้อหมูนอกจากจะเกิดจากกระบวนการปรุงหมักเนื้อ หมูก่อนการประกอบอาหารแล้ว ยังมีปัจจัยที่สำคัญที่เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการได้มาซึ่งเนื้อหมู ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้ประกอบด้วย อัตราการเจริญเติบโตของหมู การเก็บรักษาเนื้อหมูภายหลังการเชือดและขั้นตอนการปรุงสุก มีรายละเอียดดังนี้
(1) อัตราการเจริญเติบโตของหมู
อัตราการเจริญเติบโต (growth rate) ของหมูขณะที่มีชีวิตอยู่มีความสำคัญมาก หมูที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงสื่อถึง การที่หมูตัวนั้นๆ มีปริมาณโปรติโอไลติคเอนไซม์มาก ทำให้มีวงจรการสร้างและการสลายโปรตีนได้เร็ว มีผลต่อความนุ่มของเนื้อหมู โดยหมูที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูง จะมีแนวโน้มที่มีความนุ่มของเนื้อที่มากกว่าหมูที่มีอัตราการเจริญเติบโตต่ำ ดังนั้นเคล็ดลับในการเพิ่มวงจรการสร้างและการสลายโปรตีนให้ได้มากๆนั้นทำได้ โดยการให้อาหารชนิดและปริมาณที่เหมาะสมเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของหมู นอกจากอัตราการเจริญเติบโตแล้ว ปัจจัยอีกอย่างที่มีผลต่อความนุ่มของเนื้อหมู คือ ปริมาณไขมันในเซลล์กล้ามเนื้อ (intramuscular fat) หรือที่เรียกว่า “มาร์บลิง” (marbling) โดยปกติมีอยู่ประมาณ 2-3% ไขมันส่วนนี้มีความสำคัญต่อความชุ่มฉ่ำ (juiciness) และความนุ่มของเนื้อ ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณของไขมันในเซลล์กล้ามเนื้อ คือ พันธุกรรมและอาหารที่ให้ด้วย
(2) การเก็บรักษาหมูภายหลังการเชือด
ภายหลังจากการเชือด กล้ามเนื้อส่วนต่างๆของหมูจะถูกเปลี่ยนเป็นชิ้นเนื้อ ซึ่งขั้นตอนการเก็บรักษาหมูภายหลังการเชือดนี้มีความสำคัญต่อความนุ่มของ เนื้อเช่นเดียวกัน โดยปกติแล้วภายหลังการเชือด ซากหมูจะถูกนำไปเก็บในห้องเย็นเพื่อลดอุณหภูมิของซากให้ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสอย่างรวดเร็ว ทำให้มีพลังงานบางส่วนหลงเหลืออยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า“cold-shortening” ซึ่งมีผลทำให้เนื้อมีความเหนียว ดังนั้นเทคนิคการเชือดที่ทำให้เนื้อหมูมีความนุ่มคือ การค่อยๆลดอุณหภูมิของซากอย่างช้าๆ และอุณหภูมิที่ลดไม่ควรต่ำกว่า 5-6 องศาเซลเซียส ภายในระยะเวลา 110 นาที เพื่อคุมปริมาณการสูญเสียของเหลว (Drip Loss) ให้น้อยที่สุด ภายหลังจากการลดอุณหภูมิของซากแล้ว โปรติโอไลติคที่อยู่ภายในเซลล์ จะออกมาย่อยโปรตีน เรียกว่าขั้นตอนบ่มเนื้อซึ่งทำให้เนื้อมีความนุ่ม โดยสภาวะการบ่มเนื้อที่เหมาะสมที่สุด คือ ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 3 วัน
(3) การปรุงสุก
จากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า คุณสมบัติความนุ่มนั้นสามารถวัดได้ภายหลังจากการปรุงสุก ดังนั้น วิธีการปรุงสุกก็มีผลอย่างมากต่อความนุ่มของเนื้อหมูเช่นเดียวกัน วิธีการปรุงสุกที่จะทำให้ได้เนื้อหมูนุ่ม คือ การใช้อุณหภูมิไม่สูงมาก ประมาณ 90 องศาเซลเซียส จนกว่าเนื้อหมูจะสุก อย่างไรก็ตาม เนื้อหมูแต่ละส่วนจะใช้ระยะเวลาในการปรุงสุกที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นผู้จำหน่ายเนื้อหมูจึงควรมีคำแนะนำการปรุงสุกแนบไปกับผลิตภัณฑ์เนื้อ หมู เพื่อให้ผู้บริโภคทราบถึงวิธีการปรุงสุกที่จะให้ได้เนื้อหมูที่มีความนุ่ม และชุ่มฉ่ำ
เอกสารอ้างอิง : http://www.foodsciencecentral.com/fsc/ixid15766